มาตรา ๘๔
การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัย[1]พยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น
เว้นแต่
(๑) ข้อเท็จจริง[2]ซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(๒) ข้อเท็จจริง[3]ซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้
หรือ
(๓) ข้อเท็จจริงที่[4]คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
[1]
พยานหลักฐานในสำนวน คือ
พยานหลักฐานที่ได้ผ่านกระบวนการนำสืบพยานหลักฐานมาอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายว่าด้วยการยื่นพยานหลักฐานตามม.๘๕
,๘๖ ,รวมถึง
พยานหลักฐานที่ได้ยื่นกันไว้ในชั้นไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล,ชั้นคุ้มครองชั่วคราว,(ถือว่าพยานหลักฐานได้เข้ามาสู่สำนวนแล้ว)
[2]
ข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป หมายถึง
แม้ไม่มีการนำสืบศาลสามารถใช้ความรู้ความเห็นของศาล ตรวจสอบได้เองเช่น
วันใดเป็นวันหยุดราชการ สูตรสำเร็จเวลาดวงจันทร์ขึ้น
,ถ้อยคำภาษาไทยที่มิใช่ถ้อยคำพิเศษ เช่นคำว่าโทรศัพท์
กรณีไม่ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป เช่น ระเบียบ
หรือคำสั่งของทางราชการ,ภาษต่างประเทศ ,กฎหมายต่างประเทศ,กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกว่ากฎกระทรวง
,สถานที่ตั้งของหน่วยงานราชการ
,ข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่ต้องนับโทษต่อ,บุคคลใดดำรงตำแหน่งใด
[3]
ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ เช่น
กรณีมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้บัญญัติข้อเท็จจริงใดเป็นเด็ดขาด
เช่น ปวิพ.ม.๑๔๕ คำพิพากษาผูกพันคู่ความ ปวิอ.ม๔๖ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง
ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
[4]
คำรับ
ผลของคำรับคือ
ทำให้ข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ฟังเป็นยุติดตามคำรับของคู่ความนั้น
จะสืบข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ซึ่งคำรับต้องเป็นคำรับของคู่ความในศาลด้วยจึงจะถือว่าเป็นคำรับ
เช่น
๑).คำรับของคู่ความในศาล
๒).คำรับที่เกิดจากคำให้การตามมาตรา ๑๗๗วรรคสอง
(ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างโจทก์)ข้อยกเว้น
กรณีคดีอาญาแม้จำเลยไม่ให้การก็ถือว่าปฏิเสธ ,จำเลยไม่ยื่นคำให้การไม่ถือว่าเป็นการยอมรับเพราะ
ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้ต่อเมื่อคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย
และคำรับต้องไม่มีเงื่อนไข หากมีเงื่อนไขถือว่าเป็นคำท้า(คำท้า คือ
การยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายอ้างตามม.๘๔(๓)โดยมีเงื่อนไขการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน
ถ้าผลการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์แก่คู่ความฝ่ายใดอีกฝ่ายก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างอีกฝ่ายนั้นทั้งหมด ผล คือ
คำรับจะมีผลเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขของคำท้า หลักคำท้า ได้แก่ ๑.มีได้ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา
๒.เป็นการเฉพาะตัวของคู่ความที่ทำคำท้า ๓.ยกเลิกคำท้าเองฝ่ายเดียวไม่ได้ เงื่อนไขคำท้า –ต้องเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณา
เช่น การสาบาน ,ตกลงให้ฟังข้อเท็จจริงตามคำพยานคนใดคนหนึ่ง
,เอาผลคดีเรื่องอื่นเป็นเรื่องแพ้ชนะ,ท้าเรื่องหน้าที่นำสืบ –ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย-ต้องไม่เป็นการพนันขันต่อ
,คำท้าที่ไม่อาจบรรลุผลศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยสืบพยานโจทก์จำเลยไปตามปกติ
โดยเริ่มที่จุดเริ่มท้ากัน
,คำรับนอกศาลหรือรับในคดีอื่นไม่เป็นคำรับแต่เป็นเพียงพยานบอกเล่าเท่านั้น
๓). วันชี้สองสถานศาลสอบถามข้อเท็จจริงใด คู่ความมีหน้าที่ต้องตอบ ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ตอบ
คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว,
๔)คู่ความฝ่ายที่มีต้นฉบับอยู่ในความครอบครองแต่ไม่ยอมส่งต้นฉบับตามคำสั่งเรียกของศาล
,
๕)กรณีเดิมจำเลยให้การปฏิเสธแต่ภายหลังกับแถลงรับ ถือว่าสละสิทธิข้อต่อสู้ตามคำให้การ
ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงไม่จต้องนำสืบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น